จากนักร้องเบอร์ต้นที่ไทย หนีไปอยู่วัดที่ปารีส
ชีวิตล่าสุด ‘ต้อม เรนโบว์’ เริ่มต้นชีวิตใหม่ บั้นปลายสุดท้ายขอจากไปที่แผ่นดินเกิดของตัวเอง
ต้อม เรนโบว์ หรือ พีระพงษ์ พลชนะ นักร้องในตำนาน ที่ครองใจผู้ฟังทุกเพศทุกวัย ด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีเสื่อมคลาย ทำให้วันนี้เขายังสนุกกับการจับไมค์
แต่การเวียนว่ายบนถนนสายดนตรีล้วนมีขึ้นมีลง วันนี้จึงชักชวนกันมานั่งลงย้อนเส้นทางแห่งวันวานเป็นคนจังหวัดนครพนมครับ เรียนจบมัธยมที่นครพนม แล้วก็ไปเรียนต่อที่จังหวัดอุดรธานี
คุณพ่อผมเป็นนักดนตรีอยู่แล้ว ผมเองก็เล่นกีตาร์เป็นอยู่แล้ว แต่พ่อให้เรียนอิเล็กโทน เพราะตอนนั้นเขาบอกว่าอิเล็กโทนเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่สามารถเลี้ยงดูชีวิตตัวเองได้
จากนั้นผมเข้ากรุงเทพฯ ได้เล่นในคลับบาร์ญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในพัฒน์พงศ์ตอนนั้น เล่นอยู่ที่นั่นเป็นอาชีพเลย เดือนหนึ่งได้เงินประมาณ 7,000 กว่า ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมาก
เพราะเป็นคลับที่ดังมากช่วงนั้น ก็เล่นอยู่ตรงนั้นมาเรื่อยๆหลังจากทำอัลบั้มของวงอินทนิล ก็เลยเซ็นสัญญากับ RS ในนามของวงที่ชื่อว่า “สายรุ้ง” เพราะพวกเราชอบสีสันของมัน
และสีก็มีมิติด้วย แต่สักพักพอเราตั้งชื่อวงว่า “สายรุ้ง” กลายเป็นว่าไม่เข้ากับสถานการณ์เพราะศิลปินในช่วงนั้น จะมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษกัน จากสายรุ้ง ก็เลยเปลี่ยนเป็น “เรนโบว์”
และหลังจากนั้นเรนโบว์ก็ออกอัลบั้มมาเรื่อยๆ ชิมลางงานแสดง เคยครั้งหนึ่งมั้งครับ เพราะตอนนั้นเราเป็นศิลปินอยู่ แล้วละครไม่เคยดู แต่จับเราไปเล่น ซึ่งเราปฏิเสธแล้วนะ
แต่ผู้ใหญ่ให้ลองเล่นเป็นประสบการณ์ ก็เล่นไม่ได้หรอก พยายามแล้วล่ะ แต่รู้ว่าไม่ใช่ทางเรา ก็เล่นเรื่องเดียวจอด(หัวเราะ) เราคงไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ พอเพลงอิ่มตัวปุ๊บ
ก็วางแผนว่าจะไปอยู่ต่างประเทศ เพราะภรรยาเป็นคนฝรั่งเศส ส่งลูกไปเรียนก่อน ปีแรกไป-กลับฝรั่งเศสตลอด จากนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันที่ฝรั่งเศส ปรากฏว่ามีงานติดต่อเข้ามา
เพราะเข้าสถานทูตไทยที่ปารีส เพื่อจะไปแจ้งเกิดลูกคนที่สอง คนไทยที่นั่นก็เห็นว่าเป็นผม ต้อม เรนโบว์ แฟนเพลงเราทั้งนั้น เขาก็ขอเบอร์เราไว้ เผื่อเชิญมาร่วมงานต่างๆ
เพราะที่นู่นเขาจะมีงานวัดเยอะ และใหญ่มาก เหมือนวัดเป็นจุดศูนย์กลางของคนไทยที่นั่น แล้วปรากฏว่าเขาก็เรียกเราไปจริงๆ ปีแรกนี่คนล้นหลามมาก ทั่วยุโรปฝั่งนั้น เรียกว่างานเข้ามาตลอด
จนกระทั่งอยู่ฝรั่งเศสยาว 11 ปี และมีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่งรวมเป็น 3 คนชีวิตคู่กับภรรยา (แอนนา พลชนะ) และลูกๆ ราบรื่นดีครับ เขาดูแลผมตลอด แอนนาอายุย่าง 27 ปี
เรียนจบและทำงานแล้วอยู่ต่างประเทศ เขาเป็นนักเรียนทุนของฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้ทุนแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่เลยนะ เขาเก่งเรื่องภาษา พอเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็กู้เงินเรียนเองจนจบ
ส่วนคนที่สอง “น้องทอมมี่” เพิ่งส่งไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสเหมือนกับพี่สาวเขา เข้าปีแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ช่วงแรกก็เป็นห่วงนะ เพราะไม่เคยจากอกพ่อแม่เลย 18 ปี
ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน และคนสุดท้อง “น้องเตโอ้” ตอนนี้เรียนอยู่เมืองไทย เพราะเขาเป็นเด็กพิเศษที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดครับ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่น่ารักและน่าชื่นชมมาก ๆ ค่าา