ไร้ที่หลับนอน ตัวคนเดียวกับตาหนึ่งข้าง!
ชะตาชีวิต ‘อ้อยใจ แดนอีสาน’ อยู่ไม่ไหวเร่ขายยำแหนม ขอนอนบ้านแฟนคลับ
อดีตที่เคยดังเป็นพลุแตกจากผลงานลูกทุ่งเบรกแตก สำหรับนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง “อ้อยใจ แดนอีสาน” จากคนที่เคยมีค่าตัวเป็นแสน ๆ แต่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นแม่ค้าขายยำแหนมเต็มตัวไปแล้ว
ล่าสุดเจ้าตัวมีโอกาสได้มาเปิดใจกับ “หนูแหม่ม สุริวิภา” ถึงชีวิตตอนนี้ ซึ่งเธอเล่าว่าต้องเตรียมของและเข็นรถมาขายยำแหนมเป็นประจำทุกวัน หน้าโลตัสพุทธมณฑลสาย 4
ตอนนี้ยึดอาชีพขายยำแหนม ซึ่งเป็นอาชีพเดิม จะไปทำงานนั่งโต๊ะก็ความรู้ไม่มี จบแค่ ป.4 ทุกวันนี้ขายของไม่รู้เท่าไหร่ เพราะจะซื้อข้าวให้สุนัข แต่เราก็ไม่เคยอดอยากนะมีกินตลอด
แค่ไม่สบายเหมือนตอนร้องเพลง แฟนเพลงเห็นก็จำได้ บางวันต้องกินข้าวคลุกเกลือแค่มื้อเดียว ตอนนี้ใช้ชีวิตลำพังเคยถูกคนเมาบุกเข้าบ้านจนฝังใจทำให้บางวันไปขออาศัยบ้านแฟนคลับนอน
ลูกทุ่งดังในวันนั้นตอนนี้มีดวงตาที่มองไม่เห็นอีก ชีวิตของเธอนั้นพลิกผันเปลี่ยนไปจากจุดสูงสุดมาอยู่ จากนักร้องลูกทุ่งชื่อเสียงโด่งดังที่ทุกคนนั้นรู้จักกันในชื่อ “อ้อยใจ แดนอีสาน”
นอกจากชีวิตที่เปลี่ยนแปลงลงมาอยู่จุดต่ำที่สุดเธอยังต้องมาขายแหนมเร่เดินเท้าไปตามถนนหนทาง เพื่อหาเลี้ยงตัว ขอนอนบ้านแฟนคลับ
ล่าสุดอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “อ้อยใจ” นั้นได้ออกมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนชีวิตของเธอเป็นครั้งแรกว่า ตอนนี้ดวงตาของเธอนั้นไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไปหนึ่งข้าง
ชีวิตของเธอในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก จากในอดีตเคยหาเป็นแสนได้อย่างง่าย ๆ และมีชื่อเสียงโด่งดังทำให้คนรู้จักเธอในชื่อ “ลูกทุ่งเบรกแตก”
แต่ในตอนนี้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงลงมาจุดต่ำสุด ต้องเดินเร่มาทำงานมาเป็นแม่ค้าขายยำแหนมอย่างเต็มตัวไปแล้ว
เธอนั้นขายแบบนี้มาตั้งแต่ช่วงที่เธอเข้าวงการ เพราะว่าคนในครอบครัวของเธอนั้นมีอาชีพขายยำแหนมทุกคน บางครั้งเมื่อก่อนพวกเรานั้นจะต้องเดินหาบมาขายประมาณ 6-7 หาบ
และทุกคนในครอบครั้วนั้นก็สามารถขายได้หมด ตกตอนเย็นจะมาพวกเราก็จะมานั่งคุยกันแล้วถามกันว่า วันนี้แต่ละคนนั้นขายได้เท่าไหร่ ในตอนนั้นมันก็รู้สึกสนุกดี
ตอนนี้เธอบอกว่าเธอนั้นกำลังออกเดินขายอยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 อยู่บริเวณหน้าป้ายรถเมล์ “ทุกคนมีหล่นแน่นอน แต่ว่าเราจะรับได้ไหมว่าเมื่อก่อนเราเคยโด่งดัง
แต่ตอนนี้ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ คือคนเราทำอะไรก็ได้อย่าไปสร้างภาระให้กับสังคม อย่าไปยืมตังค์เขา เรามีสองมือของเรา เราทำอะไรก็ได้ให้ดี แล้วเราเองก็จะภูมิใจ
เราไม่เคยถามตัวเองหรอกว่าทำไมชีวิตเราเป็นแบบนี้ เราอยู่ทางธรรม จิตเราไปทางนั้น แล้วคือไม่คิดและไม่จมปลักอยู่ เราไม่เก็บมาคิด
เพราะว่าถ้าเราเอาไปคิดมาก แล้วเราอยู่ตัวคนเดียวด้วย ไม่รู้จะไปวางแผนชีวิตไปเพื่ออะไร เพราะชีวิตตัวคนเดียว เราไม่มีญาติพี่น้อง เราไม่มีพี่เลี้ยง เราไม่มีใครเลย ใครจะมาดูแลเรา”