ตัดขาดไป 7 ปี หยิ่งศักดิ์ศรีไม่ง้อ
บ้านเกิด ‘เข้ม หัสวีร์’ ลาบึงกาฬ พาทั้งบ้านเข้ากรุงหลังมีชีวิตรอด
ถ้าเอ่ยชื่อ เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล พระเอกหนุ่มหน้าคมที่หล่อแบบไทยๆ ซึ่งตอนนี้เป็นกลายเป็นพระเอกที่กำลังมาแรง มีผลงานละครออนแอร์ให้ได้ชมอย่างต่อเนื่อง
กระแสและเรตติ้งดีตลอด และวันนี้เราพร้อมจะอัปเดตชีวิตของพระเอกคนนี้ให้แฟนๆ ได้รู้จักเข้มให้มากขึ้นไปอีก เพราะเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ในช่วงวัยรุ่นนั้นสุดจริงๆ
ซึ่งเข้มก็เต็มใจเล่าให้เราฟังเพื่อเป็นประสบการณ์สอนเด็กวัยรุ่นอย่าได้ทำแบบที่เข้มเคยทำ “คือก่อนหน้านี้ผมเคยขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เพราะว่าเราเป็นเด็กเกเรช่วงนึง
ก็จะหันหลังให้ครอบครัว เพราะเคยขาดความอบอุ่น เมื่อผมสามารถดูแลตัวเองได้ ตอนอายุ 18 ปี เรียนจบ ปวช.เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ ได้งานเป็นช่างเชื่อมเหล็ก
แล้วไม่มีเงิuกินข้าว สำหรับผมตอนนั้นมันเคยเกือบเสีย ผมไม่ได้กินข้าว 3 วัน ไม่ได้คุยกับครอบครัว และตอนนั้นมีศักดิ์ศรีว่าจะไม่ขอใคร และตั้งแต่วันที่ออกมาทำงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร
แล้วตอนนั้นสิ่งแรกที่นึกถึงคือหน้าของแม่ แล้วนึกถึงความสะดวกสบาย ความอบอุ่นในครอบครัวมันย้อนกลับมา อยู่บ้านมีข้าวกิน มีความอบอุ่นให้ แลกเปลี่ยนความคิด
มีตาคอยถามสารทุกข์สุกดิบ การเรียนเป็นยังไง แต่ในวันนั้นเราไม่มี ไม่ได้หันหน้าหาครอบครัว ผมเอาตัวเองออกมา พอมันถึงจุดนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว ใกล้จะเสียแล้ว
เลยโทรหาแม่หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมา 7 ปี ผมบอกแม่ไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้กินข้าวเลย หลังจากที่คุยกับแม่ ผมรู้สึกวิ้ง สมองไม่ได้คิดอะไรเลย รู้แค่ว่าคงต้องเสียแล้ว
มันเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในร่ายกายเรา ไม่ได้กินข้าว มันโหยมากๆ ตอนนั้นแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว นอกจากภาพทุกอย่างที่มันย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกเรา พอได้คุยกับแม่
แม่ถามให้แม่กลับไปมั้ย แม่บอกให้ไปขอข้าวเขากินก่อน เอาชีวิตตัวเองให้รอดในวันนี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะกลับเลย ตอนนั้นตัวผมชามาก กำแพง ศักดิ์ศรีมันพังลง
ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตัดสินใจโทรหาแม่นอกจากจากเสียไปของผมที่กำลังจะเกิดขึ้น มันมีแค่ 2 ทางที่จะเกิดขึ้นคือ เสียกับรอด เลยคิดว่าก่อนเสียเลยโทรหาแม่ก่อน
เพราะผมพูดไม่ดี ทำไม่ดีกับแม่ในช่วงที่เราไม่ได้คุยกัน ก็คงเป็นเสียก่อนที่เลือกให้ผมได้คุยกับแม่ ซึ่งคนแรกที่รู้ว่าผมจะเสียคือคนแรกที่ผมเลือกไม่คุยกับเขาในวันนั้นก็คือแม่
ผมเลยรักแม่มาก หลังจากนั้นผมจึงตั้งใจว่า สิ่งที่เคยขาดพอได้กลับมาก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด พอได้เจอกันอีกครั้ง ก้มลงกราบและบอกขอโทษกับแม่ ร้องไห้พรั่งพรู
จริงๆ ก็ร้องตั้งแต่ตอนที่คุยโทรศัพท์ครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นเลยทำให้ผมรักแม่มาก แม่คือที่สุดในชีวิตผมแล้ว ผมเลยจะไม่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ถ้าทำผมจะโกรธตัวเองมาก
ผมอยากจะเติมทุกวินาทีคืนให้แม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะคืนได้ ทำงานเสร็จผมจะรีบกลับบ้านไปหาแม่ ไปหอม ไปกอด ไปอ้อนแม่ก่อนนอน (ยิ้ม)”